วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ปลัดขิก หลวงปู่เส็งท่านไปเรียนวิชาทำปลัดขิกกับหลวงพ่ออี๋และหลวงพ่อเหลือ อีกทั้งไปเรียนวิชาทำลิงกับหลวงพ่อดิ่ง

 
คาถาชนะโจร เมื่อใช้คาถาบทนี้สวดประจำ คาถาชนะโจร ก็จะทำให้ป้องกันทรัพย์สินเงินทอง และข้าวของที่มีอยู่ ให้พ้นหูพ้นตาโจรผู้ร้าย จะเข้ามาขโมยของก็เข้ามาไม่ได้ หรือถ้าเข้ามาได้ก็เอาของไปไม่ได้ ป้องกันการกระทำย่ำยี ด้วยเดียรฉานวิชา ด้วยคาถาศักดิ์สิทธิ์นี้ พระคาถา คาถาอาคมต่างๆ
สาธุ องคุลิมา ละวันตัง อาราธะนัง
เจโรอัตตะระถา ยิคะวา กูมิยัง จักขุ มังปะระมานู ภะคะวะโต
อิทธิยา อัตตะ โนสิริเร มังสัง จักขะ อะวะสุสะตุ อะวะสุสะเต
 
 
:::
 
 
คาถาหัวใจโจร

กันหะ เนหะ

หัวใจโจรนี้ ใช้ได้สารพัดทางอยู่คง เศกเหล้ากินก็ได้ เศกว่านกินก็ดี อยู่คงนักแล

:::


อยากจะได้คาถาปลุกปลัดขิกครับ
ขอสัก3-4บท


1

ส่วนใหญ่ จะมีคำหยาบที่เอ่ยถึงของลับหญิงชายอยู่ด้วย ซึ่งเอามาลงให้ไม่ไหวครับเพราะเนื้อหาหยาบโลน เอาบทนี้ไปใช้นะครับ โอม มหาปลัดขิก ศิวะลึงค์ คะนึง อื้อฉาว คุ้มครองตัวข้าพเจ้าด้วย กัณหะเณหะ อุอุ อะอะ มะมะ อะอุ โอม...


2.

โอมมหาละลวย๓๒ตวยแห่ห้อมล้อมหิแจกจ่ายขายดีแหกหิกลับ้านหิตั้งหิตังปิยังะมะ


3.
อาจารย์เคยท่องให้ฟังไม่แน่ใจว่าจะใช่ปลุกปลัดหรือเปล่า
นะกะ_อล่อ_ _ล่อดอนะ เฑาะดอล่อ_ ขุกขิตตะขัด หงึกหงักรักฉะกัน หะเนหะนุสะนะโส นะโมพุทธายะ


4.
ขอบคุณมากๆๆครับ อยากจะถามท่านผู้รู้ว่าคาถาปลุกปลัดของหลวงพ่อซ่วน และหลวงพ่อเก๋พอจะบอกได้ไหมครับ


5. ตามภาพ

อันนี้ได้มาจากทาง Web หลวงพ่อตัด
คิดว่าใช้ได้ อยู่ที่จิตเวลาท่องและมีสมาธิ
จะรู้ได้ว่า ได้ผล รึ ไม่ได้ผล


:::

http://www.taradpra.com/itemDetail.aspx?itemNo=773912&storeNo=6316

ปลัดขิกหลวงปู่เส็ง วัดบางนา ตัวจริงหายากมาก

[รายละเอียด] ปลัดขิก ลิงแขนบั้ง (ทรงเครื่อง) หลวงพ่อเส็ง วัดบางนา สุดยอดหายากส์!!! ขนาด 2 นิ้ว เนื้อไม้ มันส์มาก จารครบ สุดยอด // หลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ มีฐานะเป็นพระหลวงน้า พระอาจารย์ และเป็นพระกรรมวาจาจารย์ของท่าน โดยหลวงปู่เส็งท่านได้เรียนพระธรรมวินัยและอักขระพระคาถาต่างๆรวมถึงภาษาขอมจากหลวงปู่เทียน ท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จะออกธุดงค์ไปเข้าปริวาสกรรมทุกปี ท่านเป็นพระพูดน้อยแต่ว่าพูดได้หลายภาษา เช่น ภาษาไทย ภาษามอญ ภาษาจีน ภาษาขอม เล่ากันว่าหลวงปู่เส็งท่านไม่เอนหลังนอนแต่จะพักผ่อนด้วยการนั่งสมาธิตลอด รวมทั้งเวลาว่างท่านจะนั่งนับลูกประคำที่คล้องคอและบริกรรมพระคาถาตลอดเวลา หลวงปู่เส็งท่านปลุกเสกปลัดขิกได้เข้มขลังไม่แพ้ใครเชียว เพราะท่านไปเรียนวิชาทำปลัดขิกกับหลวงพ่ออี๋และหลวงพ่อเหลือ อีกทั้งไปเรียนวิชาทำลิงกับหลวงพ่อดิ่ง ท้ายที่สุดท่านจึงนำวิชาที่ร่ำเรียนมาประยุกต์ในการสร้างปลัดขิกของท่าน ถือว่าดีเยี่ยมและพิเศษสุดแบบ2in1กันเลยทีเดียว

:::

http://www.lanpothai.com/Talisman-talisman/81-2009-10-19-10-59-26.html
พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์พระบูชา/เทวรูปเบญจภาคีพระกรุพระเกจิอาจารย์เครื่องราง ของขลังเคล็ดลับ จับสังเกตสนามพระ ลานโพธิ์แผงหนังสือ ลานโพธิ์เที่ยวไป-ทำบุญไปแขวนพระถูกโฉลกหอระฆังดัง 8 ทิศ
  
  ..module and plugin to add google adsense to joomla based websites..หน้าแรก  เครื่องราง ของขลัง  ปลัดขิก (คิก) ยอดคงกระพัน
ปลัดขิก (คิก) ยอดคงกระพัน
วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2009 เวลา 17:50 น. ผู้ดูแลระบบ    .เรื่องโดย..บรรลุ โกเมน
?ต้องเข้าใจกันก่อนว่า คำว่า ปลัดขิกนั้นเดิมทีเรียกกันว่า ?ปลัดคิก? คำว่า ?คิก? เป็นคำแทนเสียงหัวเราะของผู้หญิงเมื่อได้เห็นปลัดขิก เพราะหากลงอักขระไม่ดีจริง เอาไปยื่นหลอกล้อสตรี นอกจากจะไม่ได้ยินเสียงคิกแล้ว ยังอาจถูกบาทาย่ำตำคะเมนในฐานะลวนลามสตรีเพศอีกด้วย..?
คำว่า ?ปลัดขิก? ไม่มีใครบอกได้ว่ามีมาเมื่อใด แต่คำว่า ?ศิวลึงค์? ได้ยินมาแต่ดึกดำบรรพ์คู่กันกับศาสนาพราหมณ์ หรือที่ปัจจุบันเรียกกันว่า ?ฮินดู? ฮินดูถือว่า ?พระศิวะ? เป็นพระมหาเทพผู้ทรงประทานพรอันเป็นเลิศแก่ผู้บูชาพระองค์ด้วยความพากเพียร ทรงสถิตอยู่เหนือบัลลังก์น้ำแข็งเหนือยอดเขาไกรลาส เป็นพระมหามุนีผู้ยิ่งใหญ่เหนือโลก
ทรงมีพระชายาทรงพระนามว่า ?พระแม่อุมาเทวี? พระแม่อุมาเทวีทรงมีพระสิริโฉมงดงามเป็นเลิศเหนือนางใดในโลก ตามตำนานของฮินดูกล่าวว่า? ครั้งนั้นพระศิวะมหาเทพทรงเสด็จสู่โลกมนุษย์เป็นเวลานาน พระแม่ศรีมหาอุมาเทวีจึงทรงเสด็จลงมาตามหาพระศิวะมหาเทพถึงในโลกมนุษย์ ทรงเนรมิตร่างเป็นเทพอันดุร้าย ทรงพระนามว่า ?ทุรคา? มีสี่พระพักตร์ แปดพระกร พระพักตร์ดุร้าย แลบพระชิวหาออกมาจากพระโอษฐ์ มีโลหิตอสูรที่ทรงปราบปรามติดอยู่ที่พระโอษฐ์ พระหัตถ์ทั้งเจ็ดถืออาวุธ ยกเว้นพระหัตถ์ที่แปดทรงถือหัวของอสูรที่ทรงประหารไว้เป็นสำคัญ
พวกโจรในสมัยก่อนที่อังกฤษจะเข้ามายึดที่เรียกกันว่า ?โจรค่าไถ่? (จะหาอ่านความละเอียดได้ในหนังสือเรื่อง ?ลัทธิของเพื่อน? หรือหนังสือเรื่อง ?วาศิษฐี?) นิยมใช้โลหิตจากลำคอของเหยื่อที่ทางญาติไม่มีเงินค่าไถ่ หรือนำเงินมาหลังเส้นตายที่โจรกำหนดเป็นพลีแด่เทวรูปทุรคา หากแต่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ?เจ้าแม่กาลี? แทนเลือดแพะหรือแกะ
แม้อังกฤษเข้าปกครองก็ยังคงมีการละเมิด อังกฤษจึงออกกฎหมายลงโทษแก่ผู้ที่สังเวยเจ้าแม่กาลีด้วยโลหิตจากคนเป็นๆ จึงสามารถยุติการบูชายันต์ด้วยคนเป็นๆ ลงได้ แต่ประเพณีการนับถือเจ้าแม่กาลีในหมู่โจรยังนิยมสืบต่อกันมาจนทุกวันนี้
ในตำนานกล่าวว่า เมื่อเจ้าแม่ทุรคาหรือเจ้าแม่กาลีเสด็จมาสู่โลกด้วยพระอารมณ์อันฉุนเฉียวจึงบันดาลให้เกิดลมพายุ ฟ้าผ่า ทำลายบ้านช่องของมนุษย์อย่างมากมาย บรรดาพราหมณาจารย์จึงให้สร้าง ?ศิวลึงค์? (อวัยวะเพศของพระศิวะ) ขึ้นบูชา เพื่อเมื่อพระแม่ทรุคาทอดพระเนตรเห็นแล้วจะได้ผ่านเลยไปไม่ทำลาย
ศิวลึงค์ ฮินดูถือว่าเป็น ?ต้นกำเนิดของชีวิต? เพราะหากไม่มีลึงค์ไหนเลยจะเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นได้ และยังได้สร้าง ?โยนีลึงค์? เอาไว้คู่กันเป็นสัญลักษณ์แห่งกำเนิดมนุษย์ ในประเทศอินเดีย มีวิหารใหญ่เรียกว่า ?วิหารศิวลึงค์? มีผู้คนเคารพสักการะกันมากชาวฮินดูเชื่อกันว่า หากแต่งงานแล้วไม่มีลูก ให้มาบนที่วิหารศิวลึงค์จะประสบความสำเร็จ
ในประเทศไทยมีศิวลึงค์ที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงรัตนโกสินทร์ อยู่ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นศิวลึงค์ที่สลักมาจากหิน มีพวงมาลัยมาสักการะไม่ขาด? มีผู้มาขอพรให้มีลูก ขอลาภหวยและค้าขายเป็นหลัก ไปดูเป็นทัศนศึกษาได้? ศิวลึงค์ที่มีมาแต่โบราณในประเทศไทยคือ ?ศิวะลึงค์แม่น้ำเพชบุรี? เป็นก้อนหินในแม่น้ำที่ถูกน้ำกัดเซาะจนมีรูปร่างคล้ายปลัดขิก เก็บมาเจาะรูร้อยเชือกป้องกันฟ้าผ่า ตลอดจนเขี้ยวงาศาสตราวุธทั้งปวง หากนำไปให้พระเกจิลงอักขระแล้วจะขลังเป็นทวีคูณ
ศิวลึงค์ตกทอดมาจากอินเดียใต้จนเข้ามาในประเทศไทยพร้อมกับพราหมณ์ แต่การแปลงจากศิวลึงค์มีในยุคใดไม่ปรากฏหลักฐาน แต่คนไทยมารู้จักปลัดขิกอย่างแพร่หลายก็เมื่อหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ ได้ทำปลัดขิกแจกลูกศิษย์จนเลื่องลือ
คราวนี้ก็มาถึงปัญหาว่า ?หลวงพ่ออี๋ได้วิชานี้มาอย่างไร? สอบค้นแล้วไม่ได้ความกระจ่าง เพราะมีผู้เคยให้ทัศนะไว้ว่า ?ได้มาจากหลวงพ่อปาน วัดมงคลโคธาวาส? แต่ก็ตกไปเพราะมีผู้ค้านว่า
?หลวงพ่อปานเป็นพระเกจิที่สอนวิชาเสือ แพะ เป็นอาทิ แต่มิได้เป็นอาจารย์สอนทำปลัดขิก ไม่เคยมีปรากฏในตำนานชีวิตของท่าน? หลวงพ่ออี๋เองไม่เคยบอกว่าท่านได้มาจากผู้ใด แต่เวลาท่านแจกท่านก็บอกว่าเก็บไว้ให้ดีต่อไปจะหายาก

ปลัดขิก คือการสร้างอวัยวะเพศชายด้วยวัสดุต่างๆ เช่น หิน ดินเผา โลหะ หรือแม้แต่เอาไม้มาหลาว ตามหลักของฮินดูคือ ?ศิวลึงค์? แต่เมื่อมาเป็นแบบไทยแล้วมีการเพิ่มอักขระเข้าไปด้วย แต่เป็นอักขระที่เป็นหัวใจโจร มาลงในปลัดขิกหลวงพ่ออี๋ก็เช่นกัน ท่านนำเอาหัวใจโจรมาลงในปลัดขิก โดยลงว่า
?กัณ หะ เณ หะ?
การสร้างปลัดขิกไม่มีอะไรมากไปกว่าไปหาแก่นไม้คูนมาตัดแบ่งออกเป็นท่อนขนาดพอสมควร จากนั้นแกะเป็นอวัยวะเพศชายมีควั่นหัวเรียบร้อย ด้านท้ายเจาะรูสำหรับร้อยเชือกไว้แขวนเอวติดตัวไปไหนมาไหนสะดวก
หลวงพ่ออี๋ท่านได้ชื่อว่ามี ?วสีภาพ? หมายถึงการเข้าฌานสมาบัติได้เร็วและออกเร็ว การปลุกเสกอะไรก็ตามหากผู้ปลุกเสกไม่มีฌานสมาบัติสูงพอจะไม่สามารถอัดพลังจิตลงไปในวัตถุมงคลได้เลย พระเกจิอาจารย์แต่ละองค์มีอำนาจฌานที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน หากแต่ว่าการเขาสู่ฌานช้าเร็วผิดกัน บางรูปต้องนั่งสมาธินานจึงจะเข้าสู่ฌานสมาบัติได้แต่หลวงพ่ออี๋เข้าออกได้ตามแต่จะต้องการ จึงไม่เป็นเรื่องแปลกเลยที่หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หรือหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จะเสกน้ำมนต์เพียงหันไปจ้องภาชนะที่ใส่น้ำที่เขาเอามาให้ทำน้ำมนต์เพียงแวบเดียวก่อนบอกว่าเสกแล้ว พอคนที่มาให้เสกน้ำมนต์ไม่เชื่อจึงเอาไปเททิ้ง ปรากฏว่าน้ำมนต์ไม่หกออกจากภาชนะหรือออกไปแล้วก็ไปตั้งเป็นรูปภาชนะแทนที่จะเป็นน้ำเหลว นั่นคือการเก่งในการเข้าสู่ฌานสมาบัติที่เรียกว่า ?วสีภาพ?
การลงอักขระของท่านจึงทรงพลังอย่างยิ่ง ทั้งเมื่อนำมาปลุกเสกยังสามารถทำให้ปลัดขิกที่รวมไว้ในบาตรกระโดดออกมานอกบาตรได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ท่านปลุกเสกจนปลัดกระโดดออกมานอกบาตรทั้งหมดจึงจะนำมาแจกภายหลัง ยังมีอีกสำนักหนึ่งที่แจกปลัดร่วมสมัยกับหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ คือหลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่สร้างปลัดขิกแจกอย่างต่อเนื่อง แต่หลวงพ่อเหลือท่านแกะผิดไปจากหลวงพ่ออี๋ คือหลวงพ่ออี๋จะตรงตลอดโคนเจาะรู สำหรับหลวงพ่อเหลือปลายจะมนก่อนแล้วเจาะรู ที่ผิดกันอีกอย่างก็คือที่ลำตัวหลวงพ่ออี๋ลงว่า ?กัณหะเณหะ? แต่หลวงพ่อเหลือจะลงด้วยอักขระว่า ?อิติ กะตา อิติกะเณ? ส่วนอุณาโลมนั้นมีเหมือนกันแต่จำนวนผิดกัน ขอให้ดูอักขระเป็นใหญ่ที่สุด
ปลัดขิกนั้นเดิมเรียกกันว่า ?ปลัดคิก? เพราะเกจิอาจารย์สมัยก่อนมักปลุกเสกแล้วให้ไปลองยื่นให้สตรีดูถ้าเธอเห็นแล้วหน้าแดงหัวเราะคิกๆ วิ่งหนีไปนั่นแหละยอด ถ้าถูกด่าละก็ยังไม่ยอด ต้องเอามาเสกใหม่ แต่ต่อมาเลยเพี้ยนเป็น ?ปลัดขลิก? ก่อนแล้วเป็น ?ปลัดขิก? ในที่สุด อำนาจแห่งปลัดขิกมีตั้งแต่ คงกระพัน แคล้วคลาด เมตตา ค้าขาย กันอันตรายจากฟ้าผ่า ตอนสงครามโลก ปลัดขิกหลวงพ่ออี๋กับหลวงพ่อเหลือ ก่ออภินิหารทางคงกระพันเป็นยอด ส่วนที่เห็นชัดเจนคือ นายโรม ทับทิมทอง ใช้ปลัดขิกตะกั่วมีร้อยตุ้มสองข้างให้สตรีเพศกินจนหลงใหลไม่ได้สติ ลงข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์รายวันมาแล้ว
ปลัดขิก จึงเป็นเครื่องรางฮินดูที่เข้ามาแพร่หลายในสารบบเครื่องรางไทยจนทุกวันนี้
อย่าดูถูกนะครับ ปลัดขิก หลวงพ่ออี๋ และหลวงพ่อเหลือ งามๆ ซื้อหากันในราคาหมื่นสองหมื่นหรือสามหมื่น เคยมีมาแล้วในวงการ
( ที่มา : ลานโพธิ์ ฉบับที่ 909 เดือนสิงหาคม 2547 : เครื่องรางน่ารู้ โลกแห่งเครื่องรางไทย : ปลัดขิก (คิก) ยอดคงกระพัน โดย..บรรลุ โกเมน )
ลิขสิทธิ์ ? 2010 ลานโพธิ์ - สำนักพิมพ์บางกอกสาส์น. สงวนไว้ซึ่งสิทธิทั้งหมด. กรุณาอย่าตัดต่อหรือคัดลอกข้อเขียนเพื่อการแจกจ่ายทางอีเมลหรือโพสข้อเขียนลงบนเว็บไซด์ กรุณาใช้เครื่องมือของเว็บไซด์ลานโพธิ์ เพื่อแสดงความคิดเห็น.
Copyright Bangkoksarn Publishing 2010.? Please don't cut articles from LanpoThai.com and redistribute by email or post to the web. You may share using our article tools.
แสดงความคิดเห็น
Please login to post comments or replies.
:::

http://p.moohin.com/191.shtml
หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร วัดสัตหีบ  ชลบุรี

ประวัติวัดสัตหีบ
วัดสัตหีบ หรือที่คนทั่วไปรู้จักกันในนาม " วัดหลวงพ่ออี๋ " ก็เพราะว่า หลวงพ่ออี๋ เป็นผู้สร้างวัดนี้ขึ้นโดยตั้งอยู่เลขที่ 333 หมู่ 1 ถนนชายทะเล ตำบลสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยวัดถูกสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ 2442 นายขำ และ นางเอียง ทองขำได้ขอพระราชทานอธิบดีเป็นที่ดินว่างเปล่าเป็นป่าไม้ที่ไม่มีเจ้าของอนุญาติให้สร้างวัด ด้านเหนือติดทางเกวียน ด้านใต้ติดทะเลและด้านตะวันตกติดป่า ด้านตะวันออกติดที่ดินบ้านสัตหีบ โดยในปัจจุบันวัดนี้มีเนื้อที่จำนวน 30 ไร่ 28 ตารางวา ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาอุโบสถหลังแรกเมื่อวันที่ 21 กันยายน ร.ศ. 138 พ.ศ.2463 เนื้อที่ได้รับพระราชทาน กว้าง 2 เส้น ยาว 3 เส้น
ทำเนียบเจ้าอาวาสวัดสัตหีบ
1. พระครูวรเวทมุนี ( หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร ) พ.ศ.2442 - พ.ศ.2489 รวม 47 ปี
2. พระครูศรีสัตตคุณ ( พ.ม.เกษม สนตุสสโก ) พ.ศ.2489 - พ.ศ.2496 รวม 7 ปี
3. พระครูศรีสัตตคุณ ( บัญญัติ โกมุทโท ) พ.ศ.2496 - พ.ศ.2527 รวม 31 ปี
4. พระครูวิบูลธรรมบาล ( เหล็ง ธมมปาโล ) พ.ศ.2527 - จนถึงปัจจุบัน
ข้อมูลประวัติ
เกิด                         วันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม 2408  ตรงกับขึ้น 11 ค่ำ เดือน 10 ปีฉลู  เป็นชาว อ.สัตหีบ ชลบุรี  เป็นบุตรของ นายขำ  นางเอียง  ทองขำ
                อุปสมบท               อายุ 25 ปี  ตรงกบ พ.ศ.2433  ณ พัทธสีมาวัดอ่างศิลานอก
                มรณภาพ               21 กันยายน 2489  เวลา 21.35 น.
                รวมสิริอายุ            82 ปี 57 พรรษา
ท่านเกิดเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีฉลู ตรงกับวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๐๘ ณ ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โยมบิดาชื่อ ขำ ทองขำ โยมมารดาชื่อ เอียง ทองขำ หลวงพ่ออี๋เป็นบุตรชายคนโต ได้รับการศึกษา และอบรมสั่งสอนให้เป็นกุลบุตรที่ดี เป็นที่รักใคร่ของญาติพี่น้อง
บิดาของท่านรับราชการ ตำแหน่งที่ชาวบ้านในสมัยนั้นเรียกว่า นายกอง
ในปี ๒๔๓๓ ท่านมีอายุ ๒๕ ปี ได้บรรพชาอุปสมบท ณ วัดอ่างศิลานอก โดยมี พระอาจารย์จั่น จันทสโร วัดเสม็ด เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ทิม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์แดง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางพระพุทธศาสนาว่า “พุทธสโร ภิกขุ” แปลว่า “ผู้ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า”
หลังจากบวชเป็นพระภิกษุแล้ว หลวงพ่ออี๋ได้อยู่เรียนวิชาการและศึกษาพระธรรมกับพระอาจารย์แดง วัดอ่างศิลานอก ซึ่งเป็นพระเถระที่มีภูมิธรรมสูง ทั้งยังมีวิชาอาคม แก้อาถรรพณ์คุณไสย ตลอดถึงการสักยันต์
พระอาจารย์จั่น พระอาจารย์แดง และพระอาจารย์เหมือน ได้สอนศาสตร์วิชาต่างๆ ให้แก่หลวงพ่ออี๋ ลูกศิษย์ของท่าน จนหมดสิ้น เป็นเวลา ๖ พรรษาเต็มๆ
การที่หลวงพ่ออี๋ท่านมุมานะศึกษาเล่าเรียน จุดประสงค์ก็เพื่อจะนำมาสงเคราะห์ญาติโยม ชาวบ้านผู้เดือดร้อนโดยทั่วไป
ช่วง พ.ศ.๒๔๕๐-๒๔๕๑ หลวงพ่ออี๋ โยมบิดา ตลอดถึงชาวบ้าน ได้ร่วมกันสร้างวัด โดยไปหาไม้สวยๆ ในบริเวณใกล้เคียงมาทำเสา ทำฝา และหาดินเหนียวที่บางปะกง เอาไปเผาทำกระเบื้องมุงหลังคา
การสร้างวัดของท่าน ไม่ถึง ๕ ปีก็แล้วเสร็จ เว้นอุโบสถ วิหาร และศาลาการเปรียญ ซึ่งได้มีการสร้างในเวลาต่อมา วัดที่สร้างขึ้นนี้ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ใน พ.ศ.๒๔๖๓
ปีที่หลวงพ่ออี๋ท่านสร้างวัดนั้น กิตติศัพท์ของท่านได้ขจรขจายอย่างกว้างไกล ในด้านความศักดิ์สิทธิ์ และอภินิหาร ผู้คนพากันหลั่งไหลไปกราบท่านมากมาย มีทั้งที่ต้องการฟังธรรมะ และการปฏิบัติสมาธิกับท่าน บางคนต้องการวัตถุมงคล ก็ได้สมความปรารถนาทุกประการ
ต่อมาท่านได้ออกรุกขมูลอยู่เป็นประจำ เหมือนครูบาอาจารย์ของท่าน และนี่เองเป็นมูลเหตุในการสร้าง ปลัดขิก ของท่าน
เท่าที่ทราบ ปลัดขิก ของ หลวงพ่ออี๋ สร้างจากวัสดุมงคลหลายชนิด อาทิ ไม้กัลปังหา ที่ขึ้นอยู่ใต้ท้องทะเล มีทั้งสีดำ สีแดง สีขาว ซึ่งปัจจุบันปลัดขิกกัลปังหาสีขาว ของท่านเป็นของหาชมได้ยากมาก สันนิษฐานว่า น่าจะสร้างจำนวนน้อย เพราะว่าวัสดุคงหายาก
ส่วนประเภทที่สร้างจากไม้ ท่านได้ใช้ต้นไม้ หรือชื่อต้นไม้ที่เป็นมงคลในตัว เช่น แก่นจากไม้ต้นคูณ แก่นจากไม้ต้นมะขาม แก่นจากไม้ต้นขนุน และไม้อื่นๆ อีกหลายชนิด ซึ่งลูกศิษย์ลูกหา รวมทั้งชาวบ้าน แกะมาให้ท่านลงอักขระ ปลุกเสกให้ก็มีจำนวนมาก
ปลัดขิก ของ หลวงพ่ออี๋ มีหลายขนาด ทั้งขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ และตัวปลัดขิกมีลักษณะเดียวกัน คือ เรียวยาว ได้สัดส่วน ปลายหัวปลัดขิกมี ๒ แบบ คือ
แบบแรก ปลายหัวปลัดขิกจะเรียว ออกแหลม เรียกว่า หัวปลาหลด
แบบที่สอง ปลายหัวปลัดขิกจะมีลักษณะมน ออกบาน เรียกว่า หัวหมวกเยอรมันโดยเรียกกันตามลักษณะที่เห็น แล้วแต่ใครจะชอบเรียกกันแบบไหนแต่ที่สำคัญที่สุดของปลัดขิกหลวงพ่ออี๋ ต้องมีสัญลักษณ์เดียวกันทุกชิ้น คือ อักขระยันต์ที่ลงในตัวปลัดขิกด้านข้าง จะต้องเป็นตัวอักขระขอมอ่านได้ว่า กันหะ เนหะส่วนหัวด้านข้างทั้งสองด้าน จะลงอักขระยันต์ขอมตัว มิ ไว้ทั้งสองข้างตรงกลางหัวปลัดขิก จะลงอักขระยันต์ขอมตัว อุณาโลม
ด้านในด้านบน ติดกับขอบหัวปลัดขิก จะลง พินทุ ซึ่งมีลักษณะเป็นวงกลมเล็กๆ เอาไว้ทั้ง ๔ จุดนี้ ถือเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญที่สุดของปลัดขิกหลวงพ่ออี๋ปัจจุบันนี้ ปลัดขิกของหลวงพ่ออี๋ ได้รับความนิยมสูงสุด คู่มากับปลัดขิกของหลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก
ด้านพุทธคุณ นอกจากเชื่อว่า ปลัดขิกของหลวงพ่ออี๋ มีพุทธคุณด้านเมตตา มหานิยม ให้โชค ให้ลาภ มีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตครอบครัวแล้ว ปลัดขิกของท่านยังช่วย ป้องกันภูตผีปีศาจ และ ปัดป้องสิ่งที่เป็นเสนียดจัญไร ได้อีกด้วย
สนนราคา สภาพพอสวย เห็นอักขระยันต์ชัดเจน ดูง่าย ราคาอยู่ในหลักหมื่นขึ้นไป

วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม
                วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม เช่น ปลักขิก  ตะกรุด  ผ้ายันต์  เสื้อยันต์สีแดง และสีขาว  รูปถ่าย  และเหรียญ เป็นต้น     
                เหรียญรุ่นแรก ปี 2473  สร้างขึ้นเนื่องในโอกาสหล่อพระประธานประจำพระอุโบสถของวัดสัตหีบ มี 2 ชนิด คือ เหรียญรูปไข่  (แจกผู้ชาย) และเหรียญทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ (แจกผู้หญิง) มีเนื้อเงิน และทองแดง
                เหรียญรุ่นสร้างโรงเรียน ปี 2483  มี 2 พิมพ์  คือ เหรียญรูปไข่  และเหรียญกลม
พุทธคุณที่เล่าสืบทอดกันมา
                พุทธคุณในเหรียญรุ่นนี้เด่นทาง  เมตตามหานิยม
แนะนำการเดินทางจาก กรุงเทพ มาอำเภอสัตหีบ โดยรถยนตร์ส่วนตัว
การเดินทางจากกรุงเทพมหานครมายังอำเภอสัตหีบนั้น หากท่านที่ใช้รถยนตร์ส่วนตัวในการเดินทางท่านอาจจะใช้เส้นทางถนนสายบางนา-ตราด เป็นทางหลวงหมายเลข 34 ตามแผนที่ด้านล่างนี้ ขับรถผ่านจังหวัดชลบุรี ผ่านอำเภอศรีราชาผ่านเมืองพัทยาโดยใช้เส้นทางถนนสุขุมวิทเป็นหลักจนถึงอำเภอสัตหีบหรือใช้เส้นทางถนนเลี่ยงเมืองไปใช้ ถนนวงแหวนรอบนอก เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัดโดยในแผนที่จะมีสัญลักษณ์สีแดงซึ่งแทนถนนวงแหวนรอบนอกด้านตะวันออกถนนกรุงเทพ-ชลบุรี(สายใหม่) ซึ่งก็สะดวกดีครับแผนที่ด้านล่างนี้แม้มันจะเก่า แม้มันจะแก่เหมือนผมแต่ก็ยังใช้ได้อยู่ครับ.
แผนที่แสดงสถานที่พักของราชการและเอกชน...ในพื้นที่สัตหีบ
แผนที่นี้ผมทำขึ้นมา ณ.วันที่ 18 มีนาคม 2553 เนื่องจากได้รับทราบข้อมูลมาว่า นักท่องเที่ยวหลายท่านที่ไม่เคยมาท่องเที่ยวสัตหีบ และพยายามจะเลือกที่พักในพื้นที่สัตหีบที่อยู่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวที่ตนเองจะไปเที่ยว โดยอาศัยแผนที่ต่างๆ ที่ตนเองพอจะหาได้ในเวลานั้น ผมจึงทำแผนที่นี้ขึ้นมาใหม่เอาไอ้ที่มันรกตาทั้งหมดออกจะได้ดูกันง่ายๆโดยใช้เป็นหมุดสีมาปักจุดให้ดูโดยแยกเป็นทีพักของทางราชการและเอกชน ส่วนตัวเลขจางๆก็จะเป็นตำแหน่งของสถานที่ท่องเที่ยวในสัตหีบนั่นเอง. คำแนะนำการเลือกที่พัก สัตหีบนั้นเป็นเมืองขนาดเล็กพื้นที่ไม่ใหญ่โตมากนัก ดังนั้นจริงๆแล้วหากคุณมีรถในการเดินทางคุณจะเลือกพักที่ใดที่คุณชอบก็ได้แล้วค่อยตระเวณขับรถ ดูแผนที่ของผมบ้าง ถามคนข้างทางบ้าง หลงทางบ้าง ก็สนุกไปอีกแบบและในการเดินทางแนะนำให้ใช้ถนนสุขุมวิทเป็นเส้นทางหลักมิให้ใช้ทางลัด เพราะในส่วนของเส้นทางลัดจะมีการตรวจสอบบัตรอนุญาติผ่านเข้าออกที่เข้มงวด และจะอนุญาติให้ผ่านเข้าออกได้ก็เฉพาะรถที่มีบัตรอนุญาติให้ผ่านเท่านั้นครับ.....
:::